พลตำรวจตรีประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวในงานสัมมนาเรื่องสมรรถนะขายตรงไทยยุคใหม่ ภายใต้โครงการจัดทำมาตรฐานอาชีพ สาขาวิชาชีพธุรกิจค้าปลีก สาขาธุรกิจขายตรง ว่าปัญหาในธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรงที่สคบ. กำลังเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิดมี 3 ประเด็นสำคัญด้วยกัน คือ
เรื่องแรก คือการสื่อสารและการโฆษณาที่เกินจริงและเป็นเท็จไม่เป็นไปตามกฎระเบียบที่กำหนด โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งพบเห็นจำนวนมาก โดยสคบ.จะเร่งตรวจสอบโฆษณาทุกชิ้น หากเรื่องใดอยู่ในความรับผิดชอบก็จะเรียกผู้ประกอบการรายนั้นมาชี้แจง แต่หากเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น เช่น องค์การอาหารและยา (อย.) ก็จะส่งต่อเพื่อให้ดำเนินการต่อไป
อีกเรื่องคือธุรกิจขายตรง ซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามแผน ลักษณะนี้อาจกลายพันธุ์ไปสู่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ได้หรืออาจมีเจตนาแอบแฝงเป็นแชร์ลูกโซ่ เบื้องต้นพิจารณาได้จากธุรกิจนั้นไม่มีสินค้ามาจำหน่ายจริงหรือการเรียกเก็บค่าสมาชิกคล้ายกับการระดมทุน โดยหากตรวจสอบพบว่ามีประเด็นที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ สคบ. ก็จะเร่งส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ติดตามต่อไป
และสุดท้ายคือเรื่องอี-วอลเลท (E-Wallet) หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องการยื่นขอจดทะเบียนธุรกิจขายตรงด้วยจะต้องได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสียก่อน จากนั้นสคบ.จึงจะรับจดทะเบียนธุรกิจขายตรง ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผู้ประกอบการอี-วอลเลทที่ได้รับอนุญาตจากธปท.เพียงกว่า 10 รายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามตนมองว่าในอนาคตเทคโนโลยีเหล่านี้ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจขายตรง และอี-วอลเลทก็เข้าข่ายคล้ายกับการระดมทุน หากไม่มีธปท.เข้ามาดูแล ก็มีโอกาสกลายพันธุ์ไปสู่แชร์ลูกโซ่ได้เช่นกัน
“ทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นประเด็นที่สคบ.เฝ้าระวังและติดตาม โดยอยากเห็นธุรกิจขายตรงมีธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม ไม่อยากเห็นธุรกิจขายตรงแปรเปลี่ยนไปเป็นแชร์ลูกโซ่ ในเบื้องต้นหากมีเรื่องร้องเรียนใดเข้ามาสคบ.ก็จะเร่งส่งคนเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกทั้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงปัจจุบันก็มีน้อยลง จะเห็นได้จากปีที่ผ่านมาเป็นหลัก 200 กว่าราย และน้อยกว่าเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสัญญาไม่เป็นธรรมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงมองว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจ”พลตำรวจตรีประสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาพบว่ามีกระแสข่าวที่สร้างภาพลบต่อธุรกิจขายตรง และการตลาดแบบตรง ทำให้ธุรกิจเสื่อมเสีย ดังนั้นหากมีมาตรฐานวิชาชีพธุรกิจขายตรงเกิดขึ้นก็จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันทางสคบ.เองอยู่ระหว่างเตรียมจัดทำตราสัญลักษณ์รับรองผู้ประกอบการที่มาจดทะเบียนถูกต้อง ก็จะเป็นการแสดงถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจนั้น ๆ โดยคาดว่าภายในเดือนนี้น่าจะแล้วเสร็จ
สำหรับพ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) ปี 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วนั้นเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจได้สะดวกมากขึ้น แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ระบุให้ผู้ที่จะเข้ามาจดทะเบียนกับ สคบ.จะต้องวางหลักประกันโดยจะมีกฎกระทรวงเรื่องการวางหลักประกันตามมา อย่างไรก็ตามในระหว่างที่กฎกระทรวงยังไม่ออกมาทางกฤษฎีกาจึงเห็นว่าสคบ.สามารถรับจดทะเบียนได้ก่อน โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ประกอบการจะต้องมาวางหลักประกันในภายหลังเมื่อกฎกระทรวงการวางหลักประกันมีผลบังคับใช้ ซึ่งการวางหลักประกันนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก หากไม่มีการวางหลักประกันก็อาจนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตได้
นอกจากนี้ยังจะมีกฎหมายลูกออกมารองรับในเรื่องการตลาดแบบตรง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์ และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเป็นลักษณะใดบ้างที่เข้าข่ายต้องมาจดทะเบียนกับสคบ. แต่กฎหมายดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และจะยกเว้นธุรกิจเอสเอ็มอีตามกฎหมายเอสเอ็มอีที่มีอยู่ รวมถึงวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์
ด้าน ดร.สมชาย หัชลีฬหา นายกสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย กล่าวว่า สมาคมฯได้ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีในการจัดทำโครงการมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพธุรกิจค้าปลีก สาขาธุรกิจขายตรง เพื่อยกระดับอาชีพขายตรงให้มีความเป็นสากล มีระดับคุณวุฒิตามสมรรถนะในการทำงานที่ชัดเจน และแบ่งระดับอาชีพได้อย่างเป็นสากล อีกทั้ง ยังจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่วงการอาชีพขายตรง และสร้างความเชื่อถือแก่ผู้บริโภคในวงกว้าง
“ผู้ให้บริการซึ่งหมายถึงเจ้าของผลิตภัณฑ์ หรือนักธุรกิจอิสระที่เข้ามาเป็นแม่ข่ายและมีลูกข่ายเป็นของตัวเองนั้น หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นโค้ช ให้ข้อมูลแก่สินค้านั้น ๆ ควรจะมีความรับผิดชอบในระดับที่ต่างกันออกไป การมีมาตรฐานวิชาชีพก็จะเข้ามาช่วยกำหนดในเรื่องจรรยาบรรณ ทักษะ ความรู้ด้านต่างๆ ตามระดับที่พวกเขาเหล่านี้พึงจะมี ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าในอาชีพ สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้ว่าเขาจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ”ดร.สมชาย กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.เนตร์พัณณา ยาวิราช อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ผู้จัดการและที่ปรึกษาโครงการจัดทำมาตรฐานอาชีพฯ สาขาธุรกิจขายตรง กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจขายตรงไทยมีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจของไทยไม่น้อย โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 75,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบอาชีพขายตรง 1.2 ล้านคน แต่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนมาหกว่า 10 ล้านคน
สำหรับการจัดทำมาตรฐานวิชาชีพขายตรงนี้ก็เพื่อยกระดับผู้ประกอบอาชีพขายตรงให้มีมาตรฐานอาชีพที่น่าเชื่อถือได้ เป็นสากล มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ มีกฎระเบียบ กติกา เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพใช้ช่องทางการขายตรงหลอกลวงผู้บริโภค และสามารถทำให้ผู้บริโภคแยกแยะได้สิ่งใดเรื่องจริง หรือหลอก อย่างไรก็ดี การจัดทำมาตรฐานอาชีพขายตรงนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จราวต้นปี 2562 และจะประกาศในพระราชกฤษฎีกา เพื่อถือปฏิบัติต่อไป