พาณิชย์แก้กฎหมายค่ายา-ค่ารักษาพยาบาลเป็นสินค้าและบริการควบคุม ขณะที่สมาคม รพ.เอกชน แถลงการณ์ค้านคุมค่ารักษา-ค่ายา หวั่นกระทบศักยภาพการแข่งขัน ชี้ คนไทยไม่ล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลเพราะสามารถเข้ารับการรักษาได้ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพ
จากมติของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) นำโดย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีมติให้เพิ่มสินค้าควบคุมเข้าไปในบัญชีปีนี้ 1 รายการ คือ ยาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นๆ ของสถานพยาบาล โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สมาคมประกันภัย มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ฯลฯ เพื่อเข้ามาศึกษาและดูแลเรื่องของค่าบริการรักษาพยาบาลให้เหมาะสม และจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 มกราคม 2562 เพื่อพิจารณาอนุมัติประกาศใช้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับค่ารักษาพยาบาลปัจจุบันไม่ได้กำหนดเป็นบริการควบคุม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 แต่ต้องมีป้ายแสดงค่ารักษาพยาบาลไว้ในที่เปิดเผยและชัดเจน หรือให้จัดทำเป็นเอกสารหรือเว็บไซต์ของโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบอัตราค่ายาและค่าบริการก่อนการตัดสินใจใช้บริการ
เมือกลับไปดูที่ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 พบว่า มาตรา 32 (3) ผู้รับอนุญาตต้องแสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล และสิทธิของผู้ป่วยที่สถานพยาบาลต้องแสดงตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง โดยกำหนดโทษ มาตรา 59 ผู้รับอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 32 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลจะมีการประมาณการอัตราค่าบริการเบื้องต้น แจ้งให้ผู้รับการรักษาทราบก่อน
ด้าน นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ออกแถลงการณ์ ณ อาคารเฉลิมพระบารมี สมาคมโรงพยาบาล โดยคณะกรรมการสมาคมโรงพยาบาลเอกชนได้แถลงการณ์ว่า หากมีการกำกับค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ทำให้ไม่มีการลงทุนในด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ ที่ทันสมัย และจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยด้อยลง ทั้งที่ปัจจุบันการรักษาพยาบาลของประเทศไทยไม่ด้อยกว่าประเทศใดในโลก และนับเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจตามนโยบาย Thailand 4.0 ด้วยเช่นกัน
สำหรับกระแสต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องการกำกับค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชนในปัจจุบัน ทำให้เกิดความเข้าใจสับสนและตีความหมายไปในหลากหลายแง่มุมนั้น ทางสมาคมฯ จึงออกแถลงการณ์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชนดังนี้
1. ค่ายาในโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงจริงหรือ ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล และประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2541 และล่าสุดที่ปรับปรุงใน พ.ศ. 2561 ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนได้ถือปฏิบัติโดยตลอดจนปัจจุบัน โดยใน พ.ร.บ.มีการกำหนดมาตรฐานทางบัญชีในรายละเอียดค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลไว้อย่างละเอียด ดังนั้น ค่ายาในโรงพยาบาลเอกชน จึงประกอบด้วยรายละเอียดมากมาย มิใช่เป็นเพียงตัวยาอย่างเดียว
2. คนไทยล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลจริงหรือ สมาคมฯ ระบุว่า คนไทยทุกคนสามารถไปรับการรักษาพยาบาลตามสิทธิของตนเอง ทั้งสิทธิ์หลักประกันสุขภาพ สิทธิ์ประกันสังคม และสิทธิ์ข้าราชการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในภาวะฉุกเฉินวิกฤติ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เรียกว่า UCEP ที่สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมง ดังนั้น คนไทยในปัจจุบัน “เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มละลายจากการรักษาพยาบาล”
โรงพยาบาลเอกชน จัดเป็นโรงพยาบาลทางเลือก แม้กระนั้นยังมีโรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมรับดูแลผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพ และระบบประกันสังคม ซึ่งช่วยรับผิดชอบดูแลคจนถึงที่สุดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผลจากการสำรวจพบว่า 64.8% ของโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ รายงานว่าเข้าร่วมในโครงการประกันสุขภาพ และอีก 35.2% ไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว สำหรับประเภทประกันสุขภาพ พบว่า มีโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน 62.7% ให้บริการในประเภทกองทุนเงินทดแทน, ส่วน 60.4% ให้บริการในประเภทประกันสุขภาพเอกชน, 55.5% ให้บริการในประเภทการประกันสังคม, 32.9% ให้บริการในประเภทกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราช และ 29.3% ให้บริการสำหรับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
3. โครงการ Medical Hub ของประเทศไทย ผู้ป่วยชาวต่างประเทศที่เข้ามารับบริการในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน มีจำนวนทั้งสิ้น 4.23 ล้านราย ในจำนวนนี้เป็นผู้มารับบริการที่เป็นผู้ป่วยนอกชาวต่างประเทศ 95.6% และผู้มารับบริการเป็นผู้ป่วยในชาวต่างประเทศ 4.4%
ในด้านผลการดำเนินกิจการปี 2559 พบว่า การดำเนินกิจการในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจของประเทศถึง 99,427 ล้านบาท ซึ่งมาจากมูลค่ารายรับจากการดำเนินกิจการ 234,327.2 ล้านบาท หักด้วยค่าใช้จ่ายขั้นกลางในการดำเนินการ 134,900.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ สมาคมฯ ระบุว่า การที่มีนโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ทำให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยมาก โดยที่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนรายงานถึงเหตุผลที่ชาวต่างประเทศเข้ามารักษา กล่าวคือ 46.4% รายงานว่าราคาค่ารักษาพยาบาลไม่แพง, 37.5% ระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์เป็นมิตรกับผู้ป่วย, 34.6% ระบุว่าความสามารถของไทย, 27.4% ระบุว่าแพทย์ไทยมีความเชี่ยวชาญหลายด้าน และอีก 24.5% ระบุว่าเทคโนโลยีทันสมัย
ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)